คณะผู้จัดทำ
นางสาววิภาพร เพ็งพิศ รหัสนักศึกษา 5419144030
นางสาววิภาพร สิงห์สีทา รหัสนักศึกษา 54191440302
นางสาววิมาลา ไชยศรีษะ รหัสนักศึกษา 54191440303
นางสาววิไลพร โนนคำ รหัสนักศึกษา 54191440304
นายวีรกุล มนต์ฤทธานุภาพ รหัสนักศึกษา 54191440306
นางสาววีรยา อิ่มเอก รหัสนักศึกษา 54191440307
นางสาวศรีประภา สิมาจารย์ รหัสนักศึกษา 54191440308
นางสาวศศิวิมล ทันใจ รหัสนักศึกษา 54191440309
นายศุภชัย วิยาสิงห์ รหัสนักศึกษา 54191440310
เสนอ
อาจารย์วิภาวดี มูลไชยสุข
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2554 มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
คำนำ
ในชีวิตประจำวันของมนุษย์มีการใช้เหตุผลเป็นกระบวนการทางความคิด ที่พยายามแสดงว่าข้อสรุปควรเป็นที่ยอมรับเพราะมีเหตุผลหรือหลักฐานที่ดีมาสนับสนุน นอกจากนี้ เรายังต้องอธิบาย การพิจารณาการตัดสิน เพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งขัดแย้ง ยิ่งไปกว่านั้นมนุษย์ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ในการใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือแสวงหาความรู้ จนกลายเป็นความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการด้านต่างๆ เหตุผลจึงมีบทบาทสำคัญยิ่งในการดำเนินชีวิตของมนุษย์
เมื่อเราได้รู้เกี่ยวกับวิวัฒนาการของตรรกศาสตร์แล้วและเราสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้ แม้เราจะใช้เหตุผลกันอยู่ทุกวัน แต่เหตุผลอาจไม่ใช่เหตุผลที่ถูกต้องเสมอไป เราจึงต้องรู้จักการใช้เหตุผลที่ถูกต้องและรู้จักวิวัฒนาการของตรรกศาสตร์ ซึ่งจะทำให้เรารู้จักการใช้เหตุผลมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเรามักใช้เหตุผลตามความเคยชินโดยขาดหลักเกณฑ์และการพิจารณาอย่างรอบคอบ เป็นเหตุให้เกิดความสับสนระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ดังนั้นเราต้องมีวิจารณญาณที่จะแยกแยะเหตุผลที่ดีออกจากเหตุผลที่ ไม่ดีได้ แต่บางครั้งการวิเคราะห์การอ้างเหตุผลต้องใช้หลักเกณฑ์มาช่วยในการพิจารณา การหากฎเกณฑ์มาวินิจฉัยการใช้เหตุผลว่าถูกหรือผิดอย่างไรนั้นเป็นเรื่องของตรรกศาสตร์(Logic) คือ ระบบวิชาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับความคิด โดยความคิดที่ว่านี้ เป็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับการให้เหตุผล
ตรรกศาสตร์จึงเป็นพื้นฐานสำหรับการศึกษาในศาสตร์อื่น ๆ เช่น ปรัชญา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ กฎหมาย เป็นต้น นอกจากนี้ ยังถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ เพียงแต่ รูปแบบของการให้เหตุผลนั้น มักจะละไว้ในฐานที่เข้าใจ และเพื่อเป็นความรู้พื้นฐานสำหรับผู้ศึกษาที่จะนำไปใช้และศึกษาต่อไป จึงจะกล่าวถึงความหมายของตรรกศาสตร์ ความหมายของปรัชญา วิวัฒนาการของตรรกศาสตร์ตะวันตกและตะวันออก การเปรียบเทียบปรัชญาและประโยชน์ของตรรกศาสตร์ ซึ่งคณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เรื่องวิวัฒนาการของตรรกศาสตร์จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจศึกษาไม่มากก็น้อย หากมีข้อผิดพลาดประการใด
คณะผู้จัดทำก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
คณะผู้จัดทำ
วิวัฒนาการของตรรกศาสตร์
ความหมายของตรรกศาสตร์
ศาสตร์ทุกศาสตร์ต่างก็มีศัพท์เฉพาะที่เรียกชื่อของศาสตร์นั้น ศัพท์ที่เป็นชื่อเรียกของศาสตร์นั้นปราชญ์ท่านพยายามให้ความหมายตามรูปศัพท์และความหมายตามคำนิยามทั้งนี้เพื่อกำหนดกรอบของศาสตร์ให้ชัดเจน
ความหมายตามรูปศัพท์
ตรรกศาสตร์ได้มาจากภาษาสันสกฤตสองศัพท์ คือ ตรรก และศาสตร์ ตรรก หมายถึง ความตรึกตรอง ความนึกคิด ตรงกับภาษาบาลีว่า ตักกะ ซึ่งมีความหมายเหมือนกัน และคำว่า ศาสตร์ หมายถึง วิชา ตำรา รวมเข้าด้วยกัน เป็นตรรกศาสตร์ หมายถึง วิชาที่ว่าด้วยความนึกคิดอย่างเป็นระบบ หรือวิชาที่ว่าด้วยการตรึงตรองอย่างเป็นระบบ และเพราะการคิดปราชญ์ทั่วไปจึงมีความเห็นร่วมกันว่า ตรรกศาสตร์ คือ วิชาว่าด้วยกฎเกณฑ์การใช้เหตุผล
ตรรกศาสตร์ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Logic มาจากภาษากรีกว่า Logike ตรงกับคำนามว่า Logos ซึ่งหมายถึง ความคิดและคำพูดซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ภาษาเมื่อยังอยู่ในใจไม่แสดงออกมาภายนอกเรียกว่าความคิด เมื่อแสดงออกมาทางวาจาเรียกว่าคำพูด เพราะฉะนั้น ตรรกศาสตร์จึงเป็นวิชาที่ว่าด้วยความคิดที่แสดงออกเป็นภาษา
ความหมายตามคำนิยาม
พจนานุกรมศัพท์ปรัชญาอังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
· ตรรกศาสตร์คือ ปรัชญาสาขาที่ว่าด้วยการวิเคราะห์และการตัดสินความสมเหตุสมผลในการอ้างเหตุผล
กีรติ บุญเจือ
· ตรรกศาสตร์ คือ วิชาที่ว่าด้วยกฎเกณฑ์การใช้เหตุผล
D.J.O’Connor and B.Powell
· ตรรกศาสตร์ คือ กฎเกณฑ์ที่มีความพิถีพิถันในคำพูด ถึงแม้ในการพูดเนื้อหา และในกรณีมีการโต้แย้งกันเราจะต้องทำให้เที่ยงตรงเท่าที่จะทำได้
Irving M. Copi
· ตรรกศาสตร์ คือ การศึกษาวิธีและหลักการที่ถูกใช้ในการแยกแยะข้อโต้เถียงที่ถูกต้องและผิดพลาด
Wilfrid Hodges
· ตรรกศาสตร์ คือ การศึกษาระบบข้อเท็จจริงให้ตรงกับความเชื่อ
คำนิยามตรรกศาสตร์ของนักปราชญ์ต่างๆ
Aldrich
· ตรรกศาสตร์ คือ ศิลปะของการคิดหาเหตุผล
Whately
· ตรรกศาสตร์ คือ ศิลปะและวิทยาศาสตร์แห่งการคิดหาเหตุผล
Thomson
· ตรรกศาสตร์ คือ วิทยาศาสตร์ว่าด้วยกำแห่งความคิด
· ตรรกศาสตร์ คือ วิทยาศาสตร์ว่าด้วยกฎอันเป็นแบบแผนแห่งความคิด
Arnauld
· ตรรกศาสตร์ คือ วิทยาศาตร์แห่งความเข้าใจในการแสวงหาความจริง
Mill
· ตรรกศาสตร์ คือ วิทยาศาตร์ว่าด้วยการใช้ความเข้าใจให้เป็นประโยชน์ต่อการประเมิณค่าหลักฐาน ด้วยกระบวนการที่ดำเนินจากความจริงที่รู้แล้วไปสู่ความจริงที่ยังไม่รู้
ความหมายของปรัชญา
คำว่า ปรัชญา มีที่มามาจากภาษาสันสกฤต หมายถึงความรู้อันประเสริฐ โดยมีรากศัพท์มาจากคำว่า ปฺร ที่แปลว่าประเสริฐ กับ คำว่า ชฺญา ที่แปลว่ารู้ ซึ่งเป็นศัพท์บัญญัติของพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ของคำว่า philosophy ในภาษาอังกฤษ ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า Φιλοσοφία ฟีโลโซเฟีย ในภาษากรีกโบราณ ซึ่งแยกได้เป็นคำว่า φιλεῖν ฟีเลน แปลว่าความรัก และ σοφία โซเฟีย แปลว่าความรู้ เมื่อรวมกันจึงมีความหมายว่า "การรักในความรู้" หรือ ปรารถนาจะเข้าถึงความรู้หรือปัญญา
ปรัชญา ตามพจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน แปลว่า วิชาว่าด้วยหลักแห่งความรู้และหลักแห่งความจริง กล่าวคือ ในบรรดาความรู้ทั้งหลายของมนุษยชาตินั้น อาจแบ่งได้เป็นสองเรื่องใหญ่ ๆ
เรื่องที่หนึ่ง คือ เรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติ เช่น ฟิสิกส์ มีเป้าหมายในการศึกษาเพื่อหาความจริงต่าง ๆ และเข้าใจในธรรมชาติมากกว่าสิ่งรอบตัวเพราะรวมไปถึงจักรวาลทั้งหมดอย่างลึกซึ้ง ชีววิทยา มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย เคมี มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับธาตุและองค์ประกอบของธาตุ เป็นต้น
เรื่องที่สอง คือ เรื่องเกี่ยวกับสังคม เช่น เศรษฐศาสตร์ มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจของสังคม รัฐศาสตร์ มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับระบบการเมืองการปกครองของสังคมนิติศาสตร์ มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับระบบกฎหมายของสังคม เป็นต้น
แต่เป้าหมายในการศึกษาของปรัชญานั้น ครอบคลุมความรู้และความจริง ในทุกศาสตร์และในทุกสาขาความรู้ของมนุษย์ ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ทั้งผลจากการศึกษาของปรัชญา ก็สามารถนำไปใช้อ้างอิงได้ ในทุกศาสตร์และในทุกสาขาความรู้ของมนุษย์ด้วย
ดังนี้ จึงกล่าวได้ว่า ปรัชญา จึงเป็น ความรู้ที่เป็นหลักแห่งความรู้ และจึงเป็น ความรู้ที่เป็นหลักแห่งความจริง ด้วย
ปรัชญาและตรรกศาสตร์
การใช้เหตุผล เป็นหลักฐานหรือสิ่งที่ยืนยันความเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งว่าเป็นจริง หรือไม่ เพราะเหตุใด การใช้เหตุผล (Reasoning) เป็นกระบวนการทางความคิดที่พยายามแสดงว่าข้อสรุปควรเป็นที่ยอมรับเพราะมี เหตุผลหรือหลักฐานที่ดีมาสนับสนุน นอกจากนี้ เรายังต้องอธิบายเหตุผลนี้ให้คนอื่นเข้าใจและยอมรับด้วย ยิ่งไปกว่านั้นมนุษย์ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ในการใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือแสวงหาความรู้ จนกลายเป็นความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการด้านต่างๆ อย่างที่เราเห็นกันอยู่ในโลกยุคปัจจุบัน เหตุผลจึงมีบทบาทสำคัญยิ่งในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ แต่บางครั้งการวิเคราะห์การอ้างเหตุผลเพื่อตัดสินว่าถูกต้องหรือดีพอที่จะยอมรับได้หรือไม่นั้นไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้โดยง่ายถ้าปราศจากหลักเกณฑ์มาช่วยในการพิจารณา การหากฎเกณฑ์มาวินิจฉัยการใช้เหตุผลว่าถูกหรือผิดอย่างไรเป็นเรื่องของตรรกศาสตร์ (Logic) ตรรกศาสตร์ คือ การศึกษา กฎเกณฑ์การใช้เหตุผล ตรรกศาสตร์จึงเป็นความรู้พื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งของการใช้เหตุผลที่เราจะต้องทำความเข้าใจและฝึกฝนอย่างจริงจังต่อไป
ดังนั้นตรรกศาสตร์จึงมีความเกื้อกูลแก่ปรัชญาเช่นเดียวกับที่เกื้อกูลกับวิชาอื่นๆเพราะตรรกศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการคิดหาเหตุผลที่ถูกต้อง ปรัชญาว่าด้วยความแท้จริงที่สิ้นสุดซึ่งต้องใช้การคิดหาเหตุผล การคิดหาเหตุผลของปรัชญาต้องอาศัยตรรกศาสตร์ กล่าวคือต้องสอดคล้องกับตรรกศาสตร์จึงจะใช้ได้
วิวัฒนาการของตรรกศาสตร์
ประวัติของตรรกศาสตร์ คือ การศึกษาการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของการอนุมานที่ถูกต้อง ตรรกะที่เป็นทางการได้รับการพัฒนาในสมัยโบราณใน ประเทศจีน , อินเดีย และ กรีซ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตรรกะของอริสโตเติล พบการประยุกต์กว้างและการยอมรับในวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
ตรรกศาสตร์ได้ฟื้นฟูในช่วงกลางศตวรรษที่สิบเก้าถึงที่จุดเริ่มต้นของระยะเวลาการปฏิวัติเมื่อเรื่องพัฒนาไปสู่การมีระเบียบ มีแบบอย่างเป็นวิธีการที่แน่นอนของหลักฐานที่ใช้ในคณิตศาสตร์การพัฒนาที่ทันสมัยที่เรียกว่าตรรกะ"สัญลักษณ์"หรือ"คณิตศาสตร์"ในช่วงเวลานี้เป็นที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์สองพันปีของตรรกะและเป็นเหตุผลหนึ่งในกิจกรรมที่สำคัญที่สุดและโดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ทางปัญญาของมนุษย์
ความคืบหน้าใน ตรรกะทางคณิตศาสตร์ ในไม่กี่ทศวรรษแรกของศตวรรษที่ยี่สิบโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกิดขึ้นจากการทำงานของ Gödel และ Tar ski มีผลกระทบอย่างสำคัญเกี่ยวกับ ปรัชญาวิเคราะห์ และ ตรรกะทางปรัชญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากปี 1950 เป็นต้นไปในสาขาวิชาต่างๆ
วิวัฒนาการของตรรกศาสตร์ตะวันตก
เพลโต(Plato) เกิดเมื่อ 427 ก่อนคริสต์ศักราช มีชื่อเดมว่า อาริสโตคลีส (Aristocles)ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ในครอบครัวที่มั่งคั่งและเก่าแก่ครอบครัวหนึ่ง บิดาของเพลโตมีชื่อว่า อริสตัน (Ariston) ส่วนมารดาของเขาชื่อว่า เพริเทียน (Peritione) บิดาของเขาเป็นเพื่อนสนิทกับโสเครตีสซึ่งเป็นนักปรัชญ์ชาวกรีกที่มีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่ง และเป็นลูกศิษย์ของปีทาโกรัส (Pythagoras)ในเวลาต่อมาเพลโตได้ศึกษาวิชาการด้านต่าง ๆ กับโสเครตีส ทำให้เขามีแนวความคิดคล้ายกับนักปราชญ์ทั้งสองมาก เพลโตเกิดขึ้นมาภายใต้ความวุ่นวายทางการเมืองของกรีซ เนื่องจากเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างชาวสปาร์ตา(Sparta) และชาวนครเอเธนส์ ด้วยเหตุนี้ทำให้เพลโตมีแนวความคิดต่อต้านการเมืองอย่างรุนแรง เขาจึงมุ่งมั่นอยู่กับการศึกษาและได้รับการศึกษาขั้นต้นเช่นเดียวกับลูกผู้ดีมีเงินทั้งหลาย คือ เรียน ปรัชญา ดนตรี บทกวี และวาทศิลป์ จากอาจารย์ท่านหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์ของเฮราไคลตุส(Heraclitus) นักปรัชญาชาวกรีกที่มีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่ง ต่อมาเพลโตได้ไปศึกษาต่อในวิชาขั้นที่สูงขึ้นไปอีกกับโสเครตีส
เพลโตเป็นนักปรัชญาตะวันตกคนแรกที่สอนปรัชญาอย่างมีระบบ อภิปรัชญาของเพลโตเป็นเรื่องเกี่ยวกับทฤษฏีแห่งมโนคติ และจักรวาลวิทยา ทฤษฎีแห่งมโนคติหรือแบบของเพลโตนับเป็นการค้นพบปรัชญาที่สำคัญของเพลโต ทฤษฎีเสนอแก่นแท้หรือสาระของสรรพสิ่งต่างจากปฐมภูมิธาตุของปรัชญากรีกสมัยนั้น
ดังนั้นชาวกรีกได้เห็นความเป็นอัจฉริยะในตัวของเพลโตคือเพลโตมีความรู้ครอบคลุมอย่างกว้างขวาง ปรัชญาของเขามีอิทธิพลมากที่สุดของชาวตะวันตกในประวัติศาสตร์
อริสโตเติล(Aristotle) เกิดในปี 384 ก่อนคริสตศักราช ที่เมืองสตาริกา ในแคว้นเธรส บิดาชื่อ นอโคมาคุส เป็นแพทย์หลวง เมื่ออริสโตเติลอายุได้ 17 ปีได้ไปศึกษาในสำนัก อะคาดามีของเพลโตนานถึง 20ปี
เมื่อเพลโตถึงแก่กรรมใน พ.ศ.159 หลานชายของเพลโตชื่อสปิวซิปปุส ได้เป็นเจ้าสำนักอะคาเดมีคนต่อมา อริสโตเติลไม่เห็นด้วยกับกำหนดการเรียนการสอนของสปิวซิปปุสที่ให้ความสำคัญกับคณิตศาสตร์มากเกินไป คังนั้นอริสโตเติลพร้อมด้วยเพื่อนร่วมสำนักชื่อ เซโนคราติส เดินทางออกจากเอเธนส์ และได้ไปพๆนักอยู่ที่อัสโซส ตามคำเชิญของเฮอร์เมียส กษัตริย์แห่งอะตาเนอุส อริสโตเติลได้พบกับภาคไนยของกษัตริย์เฮอร์เมียส ชื่อ พิธิอัส และได้แต่งงานกับเธอต่อมา มีบุตรด้วยกันหนึ่งคน ชื่อ นิโคมาคุส
อริสโตเติลประสบมรสุมชีวิตเมื่อพระเจ้าอาเล็กซานเดอร์มหาราชสวรรคตในปี 220 ชาวเอเธนส์แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อมาเซโดเนียอย่างรุ่นแรง ใครที่เคยเข้าพวกกับมาเซโดเนียเริ่มถูกลงโทษ อริสโตเติลจึงตกเป็นเป้าการปองร้ายจากนักการเมืองแห่งเอเธนส์ อริสโตเติลให้เหตุผลของการหนีจากเอเธนส์มาอยู่ที่เมืองคาลซิลว่า “เพื่อชาวเอเธนส์จะได้ไม่ทำบาปต่อปรัชญาเป็นครั้งที่สอง” เพราะครั้งแรกทำบาปโดยประหารชีวิตโสคราตีส ท่านถึงแก่กรรมด้วยโรคกระเพาะ เมื่อ พ.ศ. 221 ที่เมืองคาลซิส ขณะมีอายุได้ 62 ปี
อริสโตเติลได้ชื่อว่าเป็นบิดาของวิชาตรรกศาสตร์ เพราะเป็นปราชญ์คนแรกที่รวบรวมกฎเกณฑ์การใช้เหตุผลจัดเข้าเป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง เป็นตรรกศาสตร์นิรนัย โดยอริสโตเติลเชื่อว่ามนุษย์เท่านั้นที่สามารถคิดเกี่ยวกับเหตุและผลได้ ท่านได้เขียนตำราชื่อ Organum แปลว่า เครื่องมือ เพราะเขาเชื่อว่าเหตุผลเป็นเครื่องมือแสวงหาความจริงของมนุษย์ หลักเกณฑ์การใช้เหตุผลที่อริสโตเติลแสดงไว้ในหนังสือเล่มนี้คือ การอ้างเหตุผลแบบนิรนัย (Deductive Reasoning) ซึ่งมีอิทธิพลแผ่คลุมโลกตะวันตกในสมัยนั้นและต่อมาถึงสมัยกลางจนกระทั่งถึงสมัยใหม่เมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งนับว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากถึงเกือบ 2000 ปี
อริสโตเติลคิดว่าตรรกศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของปรัชญา เป็นเครื่องมือแสวงหาความรู้ตรรกศาสตร์(Logic) เป็นวิชาศึกษากฎเกณฑ์ของการใช้เหตุผล เกี่ยวกับการอ้างเหตุผลและหลักเกณฑ์การตัดสินเหตุผล “เหตุผล” คือสิ่งที่สนับสนุนความคิด ข้ออ้างใดที่มีเหตุผลสนับสนุนถูกต้องตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้แสดงว่ามีความสมเหตุสมผล
ก่อตั้งลีเซอุม
ที่เอเธนส์อาริสดตเติลไม่ได้กลับเข้าสำนักอะคาเดมี ได้ตั้งสำนักของตนขึ้นเรียกว่าลีเซอุม เลียนแบบอะคาเดมีของพลาโต้ เหตุที่มีชื่อลีเซอุม เพราะที่ตั้งอันเป็นสวนสาธารณะใกล้วิหารที่ประชาชนสร้างถวายเทพเจ้าอะพอลโล ลีเซอุม อริสโตเติลแบ่งการบรรยายเป็นสองภาค คือ ภาคเช้าเป็นการบรรยายวิชาปรัชญาที่ลึกซึ้งสำหรับนักศึกษาที่มีพื้นฐานความรู้ดีอยู่แล้ว
อริสโตเติลเป็นเจ้าสำนักลีเซอุมราว 12-13 ปี ในช่วงนี้ชีวิตของท่านรุ่งเรืองถึงขีดสุด งานนิพนธ์ที่สำคัญถูกเขียนขึ้นในระยะนี้
งานนิพนธ์
อริสโตเติลแต่งหนังสือไว้จำนวนมาก อริสโตเติลได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาของศาสตร์อย่างน้อย 2 สาขา คือ ตรรกศาสตร์และสัตววิทยา
นักปราชญ์ได้แบ่งงานนิพนธ์ของอริสโตเติลออกเป็น 7 หมวด ดังนี้
1. หมวดตรรกศาสตร์ หมายถึงเครื่องมือสำหรับแสวงหาความรู้
2. หมวดวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ
3. หมวดจิตวิทยา ว่าด้วยวิญญาณ, ว่าด้วยความฝัน
4. หมวดอภิปรัชญา
5. หมวดจริยศาสตร์
6. หมวดรัฐศาสตร์
7. หมวดศิลปะ วาทศิลป์, กวีศาสตร์
ปรัชญาของอริสโตเติล
นับตั้งแต่ธาเลสจนถึงอริสโตเติล ภูมิปัญญากรีกยังมิได้ถูกแบ่งเป็นสาขา วิทยาการทุกแขนงรวมอยู่ด้วยกันและมีชื่อเรียกว่า “ปรัชญา” อริสโตเติลได้จัดแบ่งศาสตร์ต่างๆ ออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คำว่า “ศาสตร์(Sciences)” เทียบได้กับคำว่า “วิชาการ” ในสมัยปัจจุบัน อริสโตเติลแบ่งกลุ่มวิชาการออกเป็น 3 ภาค
1. วิชาการภาคทฤษฎี ได้แก่วิชาที่ศึกษาเพื่อสนองความใฝ่รู้อย่างเดียว แบ่งออกเป็น 3 สาขา
1.1 ฟิสิกส์ ศึกษาธรรมชาติ
1.2 คณิตศาสตร์ ศึกษาเรื่องการคำนวณที่ยังต้องอาศัยสสาร
1.3 อภิปรัชญา ศึกษาความจริงแท้ของสรรพสิ่งโดยไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องสสาร อภิปรัชญาของอริสโตเติล แบ่งย่อยออกเป็น 2 ส่วน
ก. ภววิทยา(Ontology) ศึกษาความจริงแท้ในฐานะที่เป็นภาวะ (Being) ในโลก
ข. เทววิทยา(Theology) ศึกษาภาวะในฐานะเป็นปฐมเหตุของการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง
2. วิชาการปฏิบัติ (Practical Sciences) ได้แก่วิชาที่กำหนดวิธีปฏิบัติการเพื่อให้บรรลุผลตามเป้าหมายที่วางไว้ แบ่งเป็น 2 สาขาคือ
2.1 รัฐศาสตร์ (Politics) ศึกษาการจัดองค์การและระเบียบที่ดีให้กับสังคม
2.2 จริยศาสตร์ (Ethics) ศึกษาเรื่องจริยธรรมของปัจเจกชนในสังคม
3. วิชาการภาคผลิต (Productive Sciences) ได้แก่วิชาการความรู้เกี่ยวกับวิชาชีพที่มุ่งผลิตศิลปกรรมต่าง
ตรรกศาสตร์(Logic)
เป็นวิชาที่ศึกษากฎเกณฑ์ของการใช้เหตุผล วิชานี้เกี่ยวข้องกับวิธีการอ้างเหตุผลและหลักเกณฑ์ในการตัดสินความสมเหตุสมผลของการอ้างเหตุผล
การแสวงหาเหตุผลมาสนับสนุนข้ออ้างเพื่อสร้างความสมเหตุสมผล ทำได้ 2 วิธีคือ
1. การนิรนัย (Deduction) คือการสรุปจากคนส่วนใหญ่ไปสู่คนส่วนรวม
2. การอุปนัย (Induction) คือการสรุปจากส่วนย่อยไปสู่ส่วนใหญ่
ตรรกศาสสตร์ของอริสโตเติล
อริสโตเติลได้ชื่อว่าเป็นบิดาผู้ก่อตั้งวิชาตรรกศาสตร์ ตรรกศาสตร์ที่อารสโตเติลสร้างไว้เป็นระบบก็คือตรรกศาสตร์นิรนัย ส่วนตรรกศาสตร์แบบอุปนัยนั้นเกิดขึ้นห่างกันกว่าสองพันปีโดยฟรานซส เบคอน และจอห์น สจ๊วตมิลล์
ผลงานด้านตรรกศาสตร์ของอริสโตเติลมีชื่อว่า Orgaon แปลว่า เครื่องมือแสวงหาความรู้ ประกอบด้วยหนังสือ 6 เรื่อง คือ
1. Categories (ปทารถะ) ว่าด้วยประเภทของคำและวลี
2. On Interpretation (เรื่องการตีความ) ว่าด้วยประโยคตรรกและคำถาม
3. Pio Analytics (ปุริมวิเคราะห์) ว่าด้วยการอนุมานและตรรกบท
4. Posterior Analytics (ปัจฉิมวิเคราะห์) ว่าด้วยการประยุกต์ใช้ตรรกศาสตร์ในการแสวงหาความจริง
5. Topics (หัวข้อ) ว่าด้วยวิภาษวิธี
6. On Sophistical Refutations (ว่าด้วยการหักล้างปรัปวาท) เป็นเรื่องเกี่ยวกับเทคนิคการโต้วาที
ปทารถะ
การอ้างเหตุผลต้องแสดงออกมาเป็นภาษา หน่วยย่อยที่สุดของภาษาก็คือคำ (Terms) ปทารถะมี 10 ประการ คือ
1. สาระ (Substance) หมายถึงสาระทุติยภูมิซึ่งทำหน้าที่เป็นภาคแสดงของประโยค แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1.1 สาระทุติยภูมิ (Primary Substance) ได้แก่การแสดงสิ่งเฉพาะต่างๆ
1.2 สาระทุติยภูมิ (Secondary Substance) ได้แก่สิ่งสากลที่แสดงสกุลของสิ่งเฉพาะ
2. ปริมาณ (Quantity) ได้แก่คำแสดงปริมาณซึ่งทำหน้าที่เป็นภาคแสดง
3. คุณภาพ (Quality) ได้แก่คำที่แสดงว่าประธานของประโยคมีลักษณะเป็นอย่างไร
4. ความสัมพันธ์ (Relation) ได้แก่คำที่แสดงว่าประธานเกี่ยวข้องกับสิ่งอื่นหรือบุคลอื่นอย่างไร
5. สถานที่ (Place) ได้แก่คำที่แสดงว่าประธานอยู่ที่ไหน
6. กาล (Time) ได้แก่คำที่แสดงว่าประธานอยู่ในเวลาใด
7. ลักษณาการ (Position) ได้แก่คำที่แสดงว่าประธานอยู่ในท่าหรืออิริยาบถใด
8. สถานะ (State) ได้แก่คำที่แสดงว่าประธานมีสภาพอย่างไร
9. กัตตุภาวะ (Action) ได้แก่คำที่แสดงว่าประธานกำลังทำอะไร
10. กัมภาวะ (Affection) ได้ก่ำที่แสดงว่าประธานถูกกระทำอย่างไร
ตรรกบท
ตรรกบท คือ แบบแผนของการอ้างเหตุผล “ตรรกบทเป็นแบบแผน (Form) ของการอ้างเหตุผลที่ประกอบด้วยคำเพียง 3 คำ ซึ่งสัมพันธ์กันอย่างชนิดที่ว่าประโยคตรรก 2 ประโยคแรกรวมกันส่อแสดงนัยถึงประโยคตรรกที่สาม”
ตรรกบทประกอบด้วยประโยคตรรก 3 ประโยค คือ ประโยคข้อตั้งหลัก(Major Premise) และประโยค ข้อตั้งรอง (Minor Premise) และสุดท้ายคือข้อสรุป (Conclude Sino)
ตรรกบทมีคำเพียง 3 คำ
คำที่หนึ่งเป็นคำหลัก(Major Term) คำที่เป็นภาคแสดง (Predicate) ของข้อสรุป
คำที่สองเป็นคำรอง (Minor Term) คำที่เป็นประธาน (Subject) ของข้อสรุป
คำที่สามเป็นคำกลาง (Middle Term) ได้แก่คำที่ปรากฏในข้อตั้งหลักและข้อตั้งรอง
สัญลักษณ์ที่ใช้ในตรรกบท
ของอริสโตเติล นักปรัชญาสมัยกลาง
คำหลัก = A P (Predicate)
คำรอง = B S (Subject)
คำกลา = C M (Middle)
แผ่นผังที่ใช้ในตรรกบทที่นิยม คือ
M – P
S – M
กฎแห่งความสมเหตุสมผลของตรรกบทมีอยู่ 5 ข้อ คือ
1. ตรรกบทต้องมีคำเพียง 3 คำ คือ คำหลัก คำรอง และคำกลาง แต่ละคำต้องปารกฎเพียงสองครั้ง ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น
2. คำที่กระจายในข้อสรุปต้องกระจายในข้อตั้งด้วย
3. คำกลางต้องกระจายอย่างน้อยหนึ่งครั้ง
4. ข้อตั้งทั้งสองจะเป็นประโยคปฏิเสธทั้งคู่ไม่ได้
5. ถ้าข้อตั้งเป็นประโยคปฏิเสธ ข้อสรุปก็ต้องเป็นประโยคปฏิเสธด้วยนิรนัยกับอุปนัย
ตรรกบทใดดำเนินตามกฎทั้งห้าข้อ ตรรกบทนั้นมีความสมเหตุสมผล หมายถึงการที่ข้อสรุปรับกันได้รับข้อตั้ง กล่าวคือ เมื่อยอมรับข้อตั้งทั้งสองแล้ว ก็ต้องยอมรับข้อสรุปว่าเป็นผลที่ติดตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตรรกศาสตร์ให้ความสมเหตุสมผลมากกว่าความจริง
อริสโตเติลมีทัศนะว่า เนื่องจากตรรกศาสตร์เป็นเครื่องมือแสวงหาความรู้ ดังนั้นตรรกศาสตร์ต้องให้ความจริง แต่ตรรกศาสตร์นิรนัยมีข้อจำกัดตรงที่ไม่สามารถพิสูจน์สัจพจน์ การพิสูจน์หรือการสร้างสัจพจน์เป็นหน้าที่ของตรรกศาสตร์อุปนัย แต่ตรรกศาสตร์อุปนัยมีข้อจำกัดตรงที่ไม่สามารถศึกษาความจริงเฉพาะหน่วยได้ครบถ้วนทุกกรณี
กฎแห่งความคิด
กฎมูลฐานของตรรกศาสตร์เรียกว่า กฎแห่งความคิด กฎมูลฐานนี้อริสโตเติลได้ตั้งไว้3 กฎ คือ
1. กฎแห่งความเหมาะเหมือน(the law of identity)
2. กฎแห่งความขัดแย้ง(the law of contradiction)
3. กฎแห่งความไม่มีท่ามกลาง(the law of excluded middle
ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 นักปราชญ์ชาวอังกฤษคนหนึ่ง ชื่อ ฟรานซิส เบคอน(Francis Bacon 1561-1626) ได้หันเหความสนใจไปสู่การอ้างเหตุผลอีกแบบหนึ่ง คือการอ้างเหตุผลแบบอุปนัย (Inductive Reasoning) เขาเขียนหนังสือ ชื่อ Novum Organumซึ่งแปลว่า เครื่องมือใหม่ เพราะเขาเห็นว่าวิธีการอุปนัยนี้จะเป็นเครื่องมือใหม่ของมนุษย์ในการที่จะแสวงหาความรู้ใหม่ๆ ความคิดของเบคอนได้รับอิทธิพลจากวิชาวิทยาศาสตร์ ซึ่งสมัยนั้นกำลังประสบความสำเร็จและได้รับความสนใจอย่างมาก เขาเห็นว่าการอ้างเหตุผลแบบนิรนัยนั้นมีจุดอ่อนตรงที่เป็นลักษณะการอ้างเหตุผลที่วกวนเหมือนกับพายเรือในอ่าง ไม่ก่อให้เกิดความรู้ใหม่จึงไม่มีประโยชน์ ความรู้ที่แท้จริงของมนุษย์จึงน่าจะได้มาด้วยวิธีการอุปนัยมากกว่า
การอ้างเหตุผลแบบอุปนัยของเบคอนได้รับการจัดให้เข้ารูปสมบูรณ์ขึ้นโดย จอห์น สจวต มิลล์ (John Stuart Mill 1806-1873) เกิดเป็นวิธีอุปนัยที่มีชื่อเรียกว่า วิธีการของมิลล์ (Mill’s methods) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย
เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์(Bertrand Russell) และอัลเฟรด นอร์ท ไวท์เฮด(Bertrand Russell)
เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ กับ อัลเฟรด ไวท์เฮด ได้ร่วมกันเขียนหนังสือ ชื่อ Principia Mathematical ซึ่งถือกันว่าเป็นแม่บทของตรรกศาสตร์แนวใหม่ที่เรียกว่า ตรรกศาสตร์สัญลักษณ์ (Symbolic Logic) เป็นการผสมผสานกฎเกณฑ์ของตรรกศาสตร์นิรนัยกับกฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์เข้าด้วยกันเป็นการศึกษาความสัมพันธ์ของความคิดที่เป็นระบบโดยเน้นที่โครงสร้างหรือรูปแบบเป็นหลักจึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Formal Logic ในขณะเดียวกันได้มีการศึกษาตรรกศาสตร์อีกแนวหนึ่งที่เรียกว่า Informal Logic หรือ Critical Reasoning ที่ไม่ยึดถือแบบแผนมากนักแต่จะเป็นตรรกศาสตร์เชิงปฏิบัติคือให้ความสำคัญกับการนำกฎเกณฑ์ทางตรรกศาสตร์มาใช้ได้จริงในการวิเคราะห์การอ้างเหตุผลในชีวิตประจำวัน
จอร์จ บูล หนึ่งในนักคณิตศาสตร์ที่มีส่วนในการพัฒนาวิชาตรรกศาสตร์เป็นอย่างมาก ได้แก่ จอร์จ บูล (George Boole, ค.ศ.1815 – 1864) นักพีชคณิต และนักตรรกศาสตร์ชาวอังกฤษได้ค้นพบว่าสัญลักษณ์นิยมของพีชคณิต ไม่เพียงจะสามารถสร้างประโยคที่เกี่ยวของกับจำนวนได้เท่านั้น หากแต่ยังสามารถใช้ได้กับตรรกศาสตร์เชิงคณิตศาสตร์ด้วย ในหนังสือของเขาชื่อ The Mathematical Analysis of Logic บูลได้พัฒนาความคิดเกี่ยวกับตรรกศาสตร์ ในปัจจุบันพีชคณิตแบบบูล (Boolean algebra) มีความสำคัญมากไม่เพียงแต่ในสาขาตรรกศาสตร์เท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญทางเรขาคณิตของเซต ทฤษฎีของความน่าจะเป็น ตลอดจนสาขาอื่นๆ ของคณิตศาสตร์ด้วย
ตรรกศาสตร์ตะวันออก
ทั้งพระพุทธศาสนาและตรรกศาสตร์ต่างเกี่ยวข้องกับความจริงที่มนุษย์ควรแสวงหา พระพุทธศาสนาเห็นว่าชีวิตมีทุกข์ การขจัดความทุกข์ได้คือนิพพาน นั่นคือการบรรลุความจริงสูงสุดของมนุษย์ ส่วนตรรกศาสตร์เป็นเครื่องมือของญาณวิทยาหรือทฤษฎีความรู้ ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของวิชาปรัชญา ทำหน้าที่วางระเบียบวิธีคิดเพื่อเข้าใจความจริง ในการเกี่ยวข้องกับความจริง พระพุทธศาสนาและตรรกศาสตร์ต่างให้ความสำคัญกับความคิดทั้งคู่ แต่พระพุทธศาสนาจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่คิดมากกว่าระเบียบวิธีคิดเช่นที่ตรรกศาสตร์ให้ความสนใจ
ตรรกศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ได้รับการพัฒนาและการศึกษาอย่างเป็นแบบแผนในทางตะวันตก ซึ่งอันที่จริงแล้วแนวคิดในเรื่องของการใช้เหตุผลนี้ปรากฎอยู่ในทุกวงการและทุกที่ที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ ในทางตะวันออกเองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพระพุทธศาสนาก็มีการกล่าวถึงเรื่องการใช้ “ตรรก” ไว้เช่นเดียวกันและก็มีหลักในการอ้างเหตุผลที่เป็นระบบเช่นเดียวกับศาสตร์ในตะวันตกด้วย
ความเป็นมาของการคิดปรัชญาตะวันออกหรือปรัชญาอินเดียเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศอินเดีย จึงเรียกว่า "ปรัชญาอินเดีย" ประมาณ ก่อน พ.ศ. 3000-4500 ปี เพราะทัศนะของชาวอินเดียเห็นว่าโลกนี้เต็มไปด้วยทุกข์ สัตว์โลกทั้งหลายจะต้องดิ้นรน เพื่อหาทางให้พ้นทุกข์และอยู่สุขสบายเท่าที่จะสามารถหาได้ในโลกนี้ ผู้มีปัญญาน้อยเป็นอยู่สบายน้อย เดือดร้อนมาก ผู้มีปัญญามาก จึงสามารถเป็นอยู่อย่างสบายมาก และลำเค็ญน้อยลง เป้าหมายสูงสุดของปรัชญาอินเดีย เพื่อทำให้หลุดพ้นปวงทุกข์ และเสวยสุขอันไพศาล
ตรรกะที่เป็นทางการเริ่มขึ้นอย่างอิสระใน อินเดียโบราณ และยังคงพัฒนาไปจนถึงยุคต้นไม่มีอิทธิพลใดๆจากตรรกะกรีก พุทธ (ค.ศ 6 ศตวรรษ คริสตศักราช)
อินเดียคิดว่าจัดการกับตรรกะ : Nyaya และ Vaisheshika สูตร Nyaya จาก Aksapada พุทธ เป็นตำราหลักของ Nyaya โรงเรียนหนึ่งในหกของโรงเรียนดั้งเดิมของ ชาวฮินดู ซึ่งเป็นการการอนุมาน ที่เกี่ยวข้องกับสถานที่โดยเริ่มต้นด้วยเหตุผล การวิเคราะห์ของพวกเขาเป็นศูนย์กลางในการให้ความหมายของตรรกะและยังเป็นที่รู้จักโยทั่วไป
ปรัชญาจีนที่มีการโต้แย้งกันอย่างเป็นระบบประมาณก่อนคริสต์ศตวรรษ ที่ 5 หรือก่อน ค.ศ.500 ปีพบว่านักปราชญ์ที่มีการโต้แย้งกันด้วยหลักเหตุผล คือ สำนักโม มี โมจื้อ เป็นผู้นำ โมจื้อและสำนักของท่านได้คัดค้านความคิดของขงจื้อ และท่านโมจื้อได้วางข้อพิสูจน์ความสมเหตุสมผลของคำสอนเอาไว้สามประการด้วยกัน คือ
1. หลักฐานโบราณ
2. ความเห็นทั่วไป
3. ผลกระทบทางปฏิบัติ
หลักฐานสามประการนี้ คือหลักพิสูจน์ความสมเหตุสมผลของสำนักนี้ นอกจากสำนักนี้แล้วก็ไม่มีสำนักอื่นที่เด่นเลย และถัดจากยุคนี้นักปรัชญาจีนมีความคิดทางตรรกศาสตร์อยู่บ้างแต่ก็ไม่มีใครโดดเด่นอย่างซีกอื่นๆของโลก
การเปรียบเทียบปรัชญา
ปรัชญาตะวันออก หมายถึง ความรู้อันประเสริฐอันได้แก่ ความรู้อันสุดท้ายซึ่งเมื่อบรรลุถึงแล้วความอยากจะรู้จะหมดไป เพราะไม่มีอะไรเหลือให้อยากรู้อีกต่อไป เป็นความรู้ที่ตัดความสงสัยได้อย่างเด็ดขาด (อคถํกถี) ความรู้เกิดจากความอยากรู้ ความอยากรู้เกิดจากความไม่รู้ มีลักษณะทั่วไปต่างกันคือ ปรัชญาตะวันตก เป็นการค้นคว้าหาทางที่จะพ้นไปจากความสงสัย ปรัชญาตะวันออก เป็นความรู้ภายหลังที่พ้นความสงสัยได้แล้ว
ปรัชญาตะวันตก เป็นการประติดประต่อความคิดของนักคิดหลายคนเข้าด้วยกัน โดยที่ความจริงแล้วความคิดเหล่านั้นไม่น่าจะสัมพันธ์ซึ่งกันและกันเลย เพราะเป็นความคิดคนละฐานกัน ส่วนปรัชญาตะวันออกนั้น อาศัยความตรัสรู้อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นฐานอันแน่นอนแล้วค่อยขยายตัวออกไปตามสติปัญญาของปรัชญาเมธีนั้น ๆ ในกาลต่อ ๆ มา ในขั้นนี้เรียกว่า มีพฤติการณ์ต่างกัน
ความแตกต่างระหว่างปรัชญาตะวันออกและปรัชญาตะวันตก
· ปรัชญาตะวันตก หมายถึงความรู้เรื่องหลักคือหลักเกี่ยวกับโลกและชีวิต ส่วนปรัชญาตะวันออก หมายถึงความรู้อันประเสริฐคือความรู้ที่ทำให้หลุดพ้นจากโลกียะ
· ปรัชญาตะวันตก เป็นการพยายามหาทางทำลายความสงสัยส่วนปรัชญาตะวันออก เป็นความรู้หลังจากหมดความสงสัยแล้ว
· ปรัชญาตะวันตก เป็นการประติดประต่อความคิดของหลาย ๆ คนเข้าด้วยกัน โดยที่แต่ละคนก็คิดกันคนละฐานส่วนปรัชญาตะวันออก อาศัยความตรัสรู้ของคนใดคนหนึ่งเป็นฐานแล้วขยายต่อออกไปตามเหตุผล หรือความสามารถทางสติปัญญาของนักคิดหรือผู้อธิบายแต่ละคน
· ปรัชญาตะวันตกเริ่มจากความสงสัย ส่วนปรัชญาตะวันออก เริ่มต้นจากความหมดสงสัยหรือความรู้แจ้ง
· ปรัชญาตะวันตก เป็นการพยายามแสวงหาคำตอบเพื่อแก้ความสงสัย ฐานของปรัชญาตะวันตกคือความสงสัย ส่วนปรัชญาตะวันออก เป็นการอธิบายหรือขยายความของความตรัสรู้ตามหลักเหตุผล ฐานของปรัชญาตะวันออก คือความตรัสรู้หรือความรู้อันสมบูรณ์แล้ว
· ปรัชญาตะวันตก แสวงหาความรู้จากสิ่งภายนอกเพื่ออธิบายความจริงภายใน ส่วนปรัชญาตะวันออก แสวงหาความรู้จากสิ่งภายในเพื่ออธิบายความจริงภายนอก
· ปรัชญาตะวันตก มุ่งศึกษาความจริงส่วนรวมเพื่อเอามาอธิบายความจริงส่วนย่อย ส่วนปรัชญาตะวันออก มุ่งแสวงหาความจริงส่วนย่อยเพื่ออธิบายความจริงส่วนรวม
· ปรัชญาตะวันตก เริ่มต้นการศึกษาโดยอาศัยการสังเกตหรือประสบการณ์จากภายนอก แล้วจึงพยายามตีความตามหลักเหตุผล ส่วนปรัชญาตะวันออก เริ่มต้นการศึกษาด้วยการเพ่งพินิจภายในจนเห็นความจริง แล้วจึงอธิบายความจริงนั้นตามที่ตนเห็น
· ปรัชญาตะวันตก แรงกระตุ้นที่สำคัญที่ก่อให้เกิดการคิดค้นในทางปรัชญา คือความสงสัยใครจะรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมหรือความเป็นไปขอธรรมชาติหรือสิ่งรอบ ๆ ตัวเอง ฉะนั้นปรัชญาตะวันตกจึงมีลักษณะเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับธรรมชาติเพื่อเข้าใจธรรมชาติ ส่วนปรัชญาตะวันออก แรงกระตุ้นสำคัญที่ก่อให้เกิดการคิดค้นทางปรัชญานั้นคือปัญหาของชีวิต หรือปัญหาของตัวเอง ฉะนั้นปรัชญาตะวันออกจึงมีลักษณะเป็นแนวทางแก้ปัญหาชีวิตหรือเป็นวิธีปฏิบัติในการดำเนินชีวิต
· ปรัชญาตะวันตก นักปรัชญาเป็นเพียงนักคิด ข้อสรุปของปรัชญาตะวันตกจึงเป็นผลของการคิด ส่วนปรัชญาตะวันออก นักปรัชญาเป็นนักปฏิบัติ ข้อสรุปของปรัชญาตะวันออกจึงเป็นผลของการปฏิบัติด้วยตนเอง
· ปรัชญาตะวันตก จุดหมายปลายทางของนักปรัชญา คือความรู้หรือการรู้ความจริงเกี่ยวกับโลกหรือธรรมชาติ ส่วนปรัชญาตะวันออก จุดหมายปลายทางของปรัชญาคือการเข้าถึงความจริงหรือหลุดพ้นจากสิ่งที่ไม่จริงคือโลก
· คำนิยามของปรัชญาตะวันตกคือพฤติการณ์ตามหลักเหตุผลอันเกิดจากความสงสัยใคร่จะรู้ คำนิยามของปรัชญาตะวันออกคือพฤติการณ์ตามหลักเหตุผลอันมีความตรัสรู้เป็นบรรทัดฐาน
ลักษณะปรัชญาอินเดีย
พระเวทเกิดขึ้นเมื่อราว 1,500 ปีก่อน ค.ศ. ประวัติความคิดของอินเดีย อาจแบ่งได้เป็น 2 ระยะ คือ ยุคของพระเวท ซึ่งนับแต่ระยะแรกเริ่มมาจนสิ้นยุคของพระเวทประมาณ 500 ปีก่อน ค.ศ. หลักฐานต่าง ๆ ในยุคนี้เรียกว่า ศรุติ คือเป็นความรู้ที่พระเจ้าเปิดเผยให้รู้ แต่หลักฐานเหล่านี้ได้รับการรวบรวมขั้นในยุคกลาง และมีความแน่นอนเชื่อถือได้เพราะรักษากันมาในฐานะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ยุคสันสกฤตหรือยุคคลาสสิก เป็นยุคที่มีการรวบรวมความคิดต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่ราว 500 ปีก่อน ค.ศ. เป็นต้นมา ในยุคนี้มีวรรณคดีและผลงานต่าง ๆ เกิดขึ้นมาก แต่มีความแน่นอนน่าเชื่อถือน้อยกว่าผลงานยุคแรก ในยุคสันสกฤตนี้ เราอาจจะแบ่งได้เป็น 2 ระยะ ย่อยคือ ระยะก่อนระบบปรัชญา และระยะปรัชญา 6 ระบบ
ในปรัชญาอินเดียอุดมไปด้วยความคิดและมีความแตกตางกันในทางปฏิบัติมากมาย แต่อาจแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะหรือ 2 กลุ่มคือ
1. อาสติกะ ได้แก่ กลุ่มความคิดที่มีบ่อเกิดจากพระเวทหรือยมรับความศักดิ์สิทธิ์ของพระเวทเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพวกในจารีต ได้แก่ปรัชญา 6 ระบบของอินเดีย
2. นาสติกะ ได้แก่ พวกที่ไม่ได้มีบ่อเกิดจากพระเวท ไม่ยอมรับความศักดิ์สิทธิ์ของพระเวท และเป็นความคิดที่ต่อต้านพระเวท ได้แก่ พุทธปรัชญา ปรัชญาเชน และลัทธิจารวาก เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พวกนอกรีต
· ความคิดทั้ง 2 กลุ่มนี้ แม้จะมีความแตกต่างกันในเรื่องบ่อเกิดและความหมายทั่ว ๆ ไป แต่ก็มีลักษณะบางอย่างร่วมกัน ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นลักษณะพื้นฐานของปรัชญาอินเดีย ดังนี้
· ศาสนาและปรัชญาไม่แยกจากกันเพราะจุดหมายปลายทางของศาสนาและปรัชญานั้นเหมือนกัน นั่นคือ การแสวงหาอันเป็นแก่นหรือหัวใจของสภาวธรรม
· จุดหมายอันแท้จริงของปรัชญาคือ โมกษะ มิใช่เป็นเพียงการรู้แจ้งด้วยปัญหาเท่านั้น ฉะนั้น ปรัชญาอินเดีย จึงมิใช่เป็นการรู้เพื่อรู้แต่รู้เพื่อบรรลุจุดหมายสูงสุดเท่าที่มนุษย์จะพึงได้ในชีวิตนี้
· ความหมายของปรัชญาอินเดียอยู่เหนือจริยศาสตร์และตรรกศาสตร์ เพราะปรัชญาอินเดียมิได้เกิดจากความประหลาดใจใคร่จะรู้ แต่เกิดจากความบังคับหรือความจำเป็นของชีวิต อันเป็นผลจากความประจักษ์ความชั่วในแง่ศีลธรรมและความทุกข์ในชีวิต การขบคิดทางปรัชญาจึงเป็นการพยายามหาทางแก้ปัญหาชีวิตมากกว่าที่จะขบคิดปัญหาทางอภิปรัชญา ส่วนเรื่องทางอภิปรัชญาเป็นสิ่งที่ตามมาภายหลัง
· ปรัชญาเป็นแนวทางชีวิตมิใช่เป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น ทั้งนี้เพราะเมื่อจุดหมายของปรัชญาคือโมกษะ ฉะนั้นปรัชญาจึงพยายามวางแนวทางในการปฏิบัติเพื่อดำเนินไปสู่โมกษะนั้น ดังปรัชญาเชนที่ว่า “อย่ามีชีวิตเพื่อรู้ แต่จงรู้เพื่อมีชีวิต”
· ความหมายของปรัชญาในอินเดียนั้น มิใช่เป็นเพียงเรื่องของพุทธิปัญญาหรือศีลธรรมจรรยาเท่านั้น แต่เป็นทั้งสองอย่างรวมกัน และเหนือขอบเขตของทั้งสองอย่างนั้นไปอีกด้วย กล่าวคือ ปรัชญาเป็นทั้งเรื่องของทฤษฎีและการปฏิบัติเพื่อบรรลุจุดหมายสูงสุดที่ตรรกศาสตร์และจริยศาสตร์มิอาจจะทำให้บรรลุถึงได้
· คุณค่าของปรัชญา อยู่ที่การโน้มน้าวบุคคลให้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ สอนให้รู้ในสิ่งที่ยังไม่รู้ และทำให้เป็นในสิ่งที่ไม่เคยเป็น
· จุดสุดยอดของความคิดทางปรัชญาของอินเดีย คือเวทานตะ ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ เอกนิยมกับจักษุนิยม ความคิดของเวทานตะเป็นการแสดงให้เห็นว่า ความคิดที่มีชัยชนะเป็นขั้นสุดท้ายในอินเดียนั้น คือ อสัมพัทธนิยม (Absolutism) และเทวนิยม (theism)
ปรัชญาอินเดียกับปรัชญาตะวันตก
ศาสนาน่าจะมีมาก่อนปรัชญา เพราะมนุษย์เชื่อก่อนคิดด้วยเหตุผล แต่มูลฐานของปรัชญาก็คือศาสนานั้นเอง เช่นเรื่องจิตเป็นอมตะเป็นต้น ความคิดทางศาสนาเริ่มต้นด้วยการนับถือผีบรรพบุรุษก่อน แล้วพัฒนามาเป็นนับถือพระเจ้าองค์เดียวแล้วจึงเกิดมีศาสนาที่ไม่มีพระเจ้า ความคิดทางปรัชญาก็คล้ายกับศาสนา คือเริ่มแรกก็เชื่อว่าสิ่งต่าง ๆ มีวิญญาณ ปรากฏการณ์ธรรมชาติเป็นไปด้วยอำนาจของวิญญาณ
ต่อมาจึงเชื่อว่า ธรรมชาติผู้-เมียเป็นตัวก่อให้เกิดโลก ต่อมาจึงมีความคิดเกี่ยวกับจิต (บุรุษ) ซึ่งเป็นตัวผู้ สสารหรือรูปธาตุ (ประกฤติ) ซึ่งถือว่าเป็นตัวเมีย ความคิดในลักษณะนี้เป็นปรากฏอยู่ในหลายชาติจึงน่าจะเป็นได้ว่า วิวัฒนาการทางปรัชญานั้นเองเกิดขึ้นในชาตินั้น ๆ โดยไม่ต้องอาศัยรับเอามาจากชาติอื่น
ข้อสังเกต อียิปต์กับเมโสโปเตเมีย (อิรัก) เป็นอารยชนมาแต่โบราณ แต่ไม่ปรากฏว่าให้ปรัชญาอะไรแก่โลกเลย ดินแดนของพวกกรีก ซึ่งเป็นคาบสมุทรกรีกและตุรกีในปัจจุบันเดิมเป็นที่อาศัยของพวกทราวิทมาก่อน แล้วพวกกรีกอพยพมาอยู่ที่หลังเมื่อราว 1, 500 ปีก่อน ค.ศ. จึงน่าคิดว่าพวกกรีกพัฒนาปัญญาของตนเองโดยการรับเอาปัญญาของชาติอื่นมาอีกทีหนึ่ง โดยเฉพาะก็คือปัญญาของอินเดีย เพราะปรัชญากรีกเกิดร่วมยุคกับพุทธศาสนา และความคิดที่สำคัญ ๆ เกิดหลังพุทธกาลทั้งนั้น
ปรัชญาของอินเดียนั้นมีมาก่อนพุทธกาล คือปรัชญาพระเวทและอุปนิษัท มาถึงยุคพุทธกาลจึงเกิดปรัชญา 6 ระบบ ปรัชญาอินเดียจึงน่าจะถ่ายเทไปสู่พวกกรีกด้วยโดยผ่านทางเปอร์เชียไปสู่ตุรกีอันเป็นถิ่นของพวกกรีก เมื่อพวกกรีกเสื่อมอำนาจลง วิทยาการของพวกกรีกถ่ายทอดไปสู่พวกอาหรับ แล้วพวกยุโรปจึงได้รับเอาจากอาหรับไปพัฒนาเป็นวิทยาการสมัยใหม่อีกทีหนึ่ง ในศตวรรษที่ 16 พวกยุโรปเริ่มศึกษาเรื่องของอินเดีย ถึงศตวรรษที่ 18 พวกยุโรปจึงได้เริ่มแปลงานของชาวอินเดียเป็นภาษายุโรปโดยเฉพาะก็คือชาวเยอรมัน
เปรียบเทียบ ปรัชญาอินเดียกับปรัชญากรีก
ปรัชญาของพวกไอโอนิก ธเลส (624-547 ก่อน ค.ศ.) เหมือนกับปรัชญาพระเวทและอุปนิษัท จึงน่าได้รับความคิดนี้ไปจากอินเดียหรือนักคิดพวกนี้อาจจะไม่ใช่ชาวกรีกด้วยซ้ำไป
- ความคิดเรื่องการดูดของแม่เหล็กเหมือนกับความคิดของสางขยะ
- ความคิดเรื่องน้ำเป็นปฐมธาตุของสิ่งทั้งปวงก็มีปรากฏอยู่ในพระเวท
- ความคิดของอแมกซิเมเพสเรื่องอากาศหรืออีเธอร์เป็นปฐมธาตุของโลกก็มีปรากฏอยู่ในอุปนิษัทและเวทานตะ
- นักคิดในสำนักนี้เชื่อว่ามีวิญญาณหรือเชื่อชีวิตอยู่ในธาตุต่าง ๆ ทั้งสิ้น ความคิดนี้ก็คล้ายกับเรื่องบุรุษมีอยู่ในสิ่งทั้งปวงนั่นเอง
ความคิดของพวกอีเลียติก (540 ก่อน ค.ศ.) ก็คล้ายกับพรามวิทยาหรือเวทานตะ คือพูดถึงมายา (ปรากฏการณ์ทางผัสสะ) และเน้นความสำคัญของเหตุผลมากกว่าความประจักษ์ทางอายตนะ
ทั้ง 5
ความคิดของเฮราไคลตุส (544-484 ก่อน ค.ศ.) ก็คล้าย ๆ กับพุทธปรัชญาคือพูดถึงความเปลี่ยนแปลงว่าเป็นความจริงของจักรวาล และถือว่าไฟเป็นธาตุดั้งเดิม ในอรรถกถาของพระพุทธศาสนาก็มีกล่าวถึงโลกว่าเริ่มต้นด้วยไฟและสลายไปด้วยไฟเช่นกัน เฮราไคลตุสพูดถึงโลกว่าประกอบด้วยสิ่งที่ตรงกันข้ามกัน ซึ่งในพุทธศาสนาก็มีกล่าวถึงสิ่งตรงกันข้ามกันไว้มากมาย เช่น กุศล-อกุศล, อณหเตโช-สีตเตโช เป็นต้น และความคิดเหล่านี้พุทธสาสนาได้สอนไว้ก่อนเฮราไคลตุสนมนานและเป็นคำสอนที่มีอยู่ในลัทธิเต๋าด้วย
อ-แนกซ์กอรัส (500-428 ก่อน ค.ศ.) ก็กล่าวถึงเรื่องเม็ดสสารหรือเม็ดธาตุเล็ก ๆ ไว้คล้ายกับความคิดเรื่องกลละของพระอภิธรรม และถือว่าสสารจะเกิดจากอสสารไม่ได้
เอมพิลโดเดลส (484-424 ก่อน ค.ศ.) มีคำสอนคล้ายลัทธิไวเศษิก แต่ไม่พิสดารเท่า
เดโมคริตุส (460-370 ก่อน ค.ศ.) ได้เสนอความคิดเรื่องปรมาณูไว้คล้ายกับความคิดของไวเศษิกและสางขยะ และความคิดเรื่องปรมาณูของพุทธศาสนาด้วย แต่เขาไม่เชื่อเรื่องคุณสมบัติของปรมาณู โดยเขาเชื่อว่าลักษณะต่าง ๆ ของวัตถุนั้นมนุษย์เห็นไปเอง ส่วนในเรื่องวิญญาณเดโมคริตุสมีความคิดคล้ายกับเรื่องสุขุมสรีระของสางขยะ
นักคิดสำนักต่าง ๆ ของกรีกดังกล่าวมาข้างต้น ล้วนเกิดขึ้นภายหลังพุทธกาลทั้งนั้น สมัยของพุทธกาล คือ 623-543 ก่อน ค.ศ.
พวกโสฟิตส์นั้นคล้าย ๆ กับพวกปริทาชกในอินเดียและไม่ได้เสนอความคิดทางปรัชญาอย่างเป็นระบบใด ๆ เลย ความคิดทางตรรกของโสคราติส (469-399 ก่อน ค.ศ.) นั้นคล้ายกับความคิดของลัทธินยายะ ส่วนความคิดเชิงปรัชญาของเขาคล้ายปรัชญาพราหมณ์ และความคิดเกี่ยวกับมนุษย์และโลกของเขาคล้ายกับความคิดของลัทธิโลกายตะ คือมุ่งความสุขเฉพาะหน้า แต่ดีกว่าโลกายตะตรงที่เขาเน้นเรื่องคุณธรรม
พลาโต (427-360 ก่อน ค.ศ.) มีความคิดเรื่องสัจจะหรือความจริงคล้าย ๆ กับพุทธปรัชญา คือถือว่าความจริงมี 2 ระดับ คือความจริงระดับผัสสะกับความจริงระดับเหตุผลคล้ายความจริงระดับสมมติกับระดับปรมัตถ์ของพุทธศาสนา แต่ความหมายต่างกันมาก ความจริงของพลาโตมีลักษณะเป็นสัสตะ ส่วนความคิดทางการเมืองของเขากว้างขวางกว่าความคิดของชาวอินเดีย
อริสโตเติล (384-322 ก่อน ค.ศ.) ยอมรับความเปลี่ยนแปลงของโลกว่าเป็นจริง คล้ายความคิดเรื่องอนิจจังของพุทธศาสนา มีความคิดเรื่องสาเหตุของความเปลี่ยนแปลงของโลกว่าเป็นจริง คล้ายความคิดเรื่องอนิจจังของพุทธศาสนา แต่เขากลับเชื่อเรื่องพระเจ้าทำนองเดียวกับเรื่องบุรุษของสางขยะ อันเป็นเหตุให้สสารหรือประกฤติเปลี่ยนแปลง
ความคิดของเอนิตโลรัส (342-270 ก่อน ค.ศ.) คล้ายกับลัทธิไวเศษิก มีความเชื่อเรื่องเหตุผลคล้ายพุทธศาสนา แต่มีความคิดทางจริยศาสตร์คล้ายพวกจารวาก. แต่เรื่องจุดหมายปลายทางของชีวิตกลับไปคล้ายกับโมกษะของฮินดู
พวกกรีกมีความคิดเรื่องวิวัฒนาการละเอียดกว่าพุทธปรัชญา แต่อธิบายขบวนการวิวัฒนาการสู้หลักปฏิจจสมุปบาทไม่ได้
ความคิดทางการแพทย์ของพวกกรีกก็คล้าย ๆ กับอายุรเวทของอินเดีย พวกกรีกจึงน่าจะได้ความคิดเหล่านี้ไปจากอินเดีย เพราะฮิปโปคราสติส (430 ก่อน ค.ศ.) ผู้วางรากฐานการแพทย์ของกรีกอยู่ที่เกาะ Cos ซึ่งติดกับฝั่งทะเลตุรกี
เปรียบเทียบ ปรัชญาอินเดียกับปรัชญาสมัยกลาง
แมกพุสมีแนวความเชื่อคล้ายมีมอส คือให้เชื่อความรู้ที่ได้มาจากการบันดาลใจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อะครีปัส (1225-1274) มีความเชื่อบางอย่างคล้ายพุทธศาสนา คือเรื่องภพภูมิต่าง ๆ ที่มนุษย์จะเข้าถึงได้ มีความเชื่อเรื่องเทวบันดาลคล้ายกับเวทานตะ คือโลกเป็นไปตามเทวบันดาลของพระเจ้า พวกสกอลาสติก มี 2 พวก คือพวกที่มีความคิดตามแนวของพลาโต กับพวกที่มีความคิดตามแนวของอริสโตเติล
- พวกที่เป็นตามแนวคิดของพลาโตเรียกตัวเองว่า Realism เพราะถือว่าเป็นผู้เข้าถึงสัจจะได้สูงกว่าพวกอื่น (ความหมายกลับกันกับที่ใช้ในปัจจุบัน)
- พวกที่เป็นตามแนวของอริสโตเติลนั้นเรียกว่า Nominalism คือพวกที่ถือว่าความจริงคือสิ่งที่ปรากฏต่อผัสสะ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือสิ่งที่มีชื่อคือสิ่งที่จริง
ความคิดเรื่องนี้ของพวกสมัยกลางก็คล้ายกับความคิดของปรัชญาพราหมณ์ที่ว่า “สิ่งใดมีชื่อ สิ่งนั้นเป็นนาม สิ่งใดไม่มีชื่อ อันพึงรู้ได้ด้วยรูป สิ่งนั้นเป็นรูป
เปรียบเทียบ ปรัชญาอินเดียกับปรัชญาสมัยใหม่
ความคิดของเบคอน (1561-1626) คล้ายกับลัทธินยายะ ไวเศษิก กล่าวคือความคิดทางวิทยาศาสตร์ของเขาคล้ายนยายะและสสารนิยมของเขาก็คลายกับไวเศษิก นอกจากนี้เบคอนยังเชื่อพระเจ้าด้วย (ศตวรรษที่ 17)
เดดาริต (1596-1650) ก็เสนอความคิดแบบทวินิยมเหมือนลัทธิสางขยะ เพราะฉะนั้นความคิดของเดดาริตจึงมิใช่ของใหม่อย่างที่ชาวโลกเชื่อถือกัน ความคิดเรื่องจิตกับกายของเดดาริตก็เหมือนกับความคิดเรื่องบุรุษกับประกฤติ ส่วนความคิดเรื่องพระเจ้าของเขาก็เหมือนกับปรัชญาเวทานตะ แต่ความคิดทางกลไกลของเขาละเอียดกว่าของอินเดีย (ไวเศษิก)
สสารนิยมของฮอบส์ (1588-1679) ก็คล้ายกับความคิดของจารวาก ถือว่าจิตเกิดจากสสาร ความคิดเน้นการเคลื่อนไหลของมันสมอง
จิตนิยมของสปิโนช (1632-1677) ก็เท่ากับเอาเวทานตะมาผสมกับสางขยะ ความคิดทางจริยศาสตร์ของเขาก็เหมือนกับของฮินดู
ความคิดของล้อด (1632-1704) บางอย่างก็คล้ายกับพุทธศาสนา เช่นเรื่องคุณภาพชั้นต้น อารมณ์หรือ Ideal ส่วนจิตวิทยาของเขาก็คล้ายกับของฮินดู
ลัทธิโมนาดของไลม์นิช (1646-1716) กลับถอยหลังไปหาปรัชญาพระเวท อย่างที่ฤคเวทกล่าว “บุรุษยิ่งใหญ่กว่าสิ่งทั้งปวง สถิตอยู่ในสิ่งทั่วไปทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต” คำอธิบายเรื่องโมนาดย่อยโมนาดใหญ่ของเขาก็คือเรื่องชีวาตมันกับปรมาตมันนั้นเอง
ความคิดเรื่องแรงโน้มถ่วงของนิวตัน (Newton) ก็มีอยู่ในลัทธิไวเศษิกแล้ว ความดึงดูดระหว่างสิ่งต่าง ๆ ก็มีกล่าวไว้ในอภิธรรมว่า คืออาโปชตุ ความคิดเรื่องอากาศของนิวตันก็มีอยู่ในปรัชญาฮินดู ความคิดเกี่ยวกับการแบ่งส่วนใหญ่ออกเป็นส่วนย่อยอันไม่มีที่สิ้นสุด (infinitesimal) ก็มีปรากฏอยู่ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของรูปนาม และเรื่องขณะจิตของพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าจึงเป็นคนแรกที่แบ่งสันตติของรูปนามออกเป็นขณะ ๆ นิวตันเชื่อว่ามีบางสิ่งที่อยู่กับที่ แต่พระพุทธเจ้าสอนว่าทุกสิ่งเคลื่อนไหว ส่วนเรื่องปฏิกิริยาเท่ากับกิริยานั้น ก็คล้ายกับคำสอนเรื่องกรรมและกรรมวิบากของพุทธศาสนานั้นเอง
จิตนิยมของเนิดเล่ย์ (1685-1753) ก็คล้ายกับความคิดของพุทธศาสนามหายานซึ่งเป็นผลของการปรับพุทธศาสนาให้เข้ากับเวทานตะ แต่มหายานไม่ไกลกว่าเวทานตะเสียอีก คือปฏิเสธโลกภายนอกเอาเลยคือถือว่า รูปไม่มี มีแต่นามอย่างเดียว
ความคิดของฮิวม์ (1711-1776) ก็เหมือนกับอเหตุกทิฏฐิ อกิริยทิฏฐิ และอุจเฉททิฏฐินั่นเอง เพราะฮิวม์บอกว่าไม่มีอะไรนอกจากความคิด (หรืออารมณ์) ล้วนไม่มีสสาร ไม่มีจิต มีแต่ความคิด ทุกอย่างสลายไปกับความตาย
คานต์ (1724-1804) ได้เสนอความคิดเรื่อง กาลและอวกาศเป็นคนแรกในยุโรป แต่ความคิดนี้ก็มีอยู่ในลัทธิไวเศษิกแล้ว และความคิดนี้ก็กลายเป็นคำสอนเรื่องบัญญัติของพุทธปรัชญาด้วย คำสอนเรื่องโลกและวิญญาณของคานต์ก็คล้ายกับเรื่องบุรุษและประกฤติของสางขยะ ความคิดเรื่องของคานต์ก็คล้าย ๆ กับเรื่องปัฏฐาน 24 ของพุทธศาสนา
ความคิดของนักคิดเยอรมันคือ Fickte Sohelling Hegel (1775, 1770) มีความคล้ายคลึงกับปรัชญาเวทานตะหรือพรามวิทยามาก
ปรัชญาประวัติศาสตร์ของเฮเกล คล้ายกับลัทธิอวตารของฮินดู ส่วนความคิดเรื่องไดอะเล็กติกของเขาก็เหมือนกับความคิดเรื่อง สินาสยะของนยายะ ซึ่งถือว่า ความจริงได้จากการพิจารณาเรื่องที่ขัดแย้งกัน
ความคิดของนักคิดเรื่องสสารนิยมทางประวัติศาสตร์ของพวกมากซิสต์ก็คล้ายกับความคิดเรื่องยุคต่าง ๆ ในปรัชญาฮินดู ที่แบ่งยุคออกเป็น กฤตยุค ทวาพรยุค ไตรดายุค กลียุค แต่พวกมากซิสต์แบ่งกลียุคไว้ละเอียดกว่า ส่วนความคิดเรื่องสังคมนิยมนั้น พวกพราหมณ์และพวกพุทธก็ได้กล่าวไว้นมนานมาแล้ว สสารนิยมไดอะเล็กติกจึงเท่ากับเป็นพัฒนาการขั้นสูงสุดของลัทธิจารวาก
ความคิดเรื่อง วิวัฒนาการของดาร์วิน (1809-1882) ก็คล้ายกับความคิดเรื่องพืชนิยมของพุทธศาสนา
ความคิดของพวกสัจนิยมในศตวรรษที่ 20 นี้ก็คล้ายกับความคิดของพุทธศาสนา คือยอมรับความมีอยู่ของสิ่งที่ปรากฏทั้งที่เป็นสสารและอสสาร โดยที่สิ่งทั้งสองมิได้สร้างซึ่งกันและกัน แต่ต่างก็มีอยู่ด้วยกัน
ประโยชน์ของตรรกศาสตร์
เมื่อพูดถึงประโยชน์ของตรรกศาสตร์แล้ว ผู้ที่ยังไม่เข้าใจเนื้อหาวิชาตรรกศาสตร์ดีก็จะมองไม่เห็นประโยชน์ของมันแต่เมื่อได้ศึกษาวิชานี้อย่างระเอียดถี่ถ้วนแล้ว เขาจะเห็นว่าตรรกศาสตร์คือพลังของการใช้เหตุผลและพลังแห่งการศึกษาวิชาอื่นเพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงประโยชน์ที่ควรจะได้รับในการศึกษาวิชานี้จึงขอนำประโยชน์มากล่าวเป็นข้อๆต่อไปนี้ตรรกศาสตร์ทำให้เราคิดหาเหตุผลอย่างสมเหตุสมผลเมื่อตรรกศาสตร์เป็นวิชาที่กล่าวถึงหลักเกณฑ์แห่งการคิดและหลักเกณฑ์แห่งการใช้เหตุผลผู้คิดหาเหตุผลตามหลักของตรรกศาสตร์ หรือผู้ใช้เหตุผลตามหลักของตรรกศาสตร์ เขาย่อมคิดและย่อมพูดได้ถูกต้องตามหลักเหตุผล แต่ไม่ได้หมายความว่า ผู้เรียนตรรกศาสตร์เท่านั้นจะคิดจะพูดถูกต้องตามหลักของเหตุผล ผู้ที่ไม่ได้เรียนทำไม่ได้ไม่ได้หมายความเช่นนั้น บางทีเราจะเห็นว่าคนบางคนใช้เหตุผลได้ถูกต้องเป็นอย่างดีทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เรียนตรรกศาสตร์เลยที่เป็น เช่นนั้น ก็เพราะเขาใช้เหตุผลเป็นไปเองตามธรรมชาติ เช่นเดียวกับการเดินการพูด ใครก็เดินและพูดภาษาของตนได้ แต่จะเดินให้สวยงามเหมือนทหารเดินพาเหรดได้ไหมได้ไหม ก็ตอบว่าถ้าไม่ได้ฝึกฝน ในการเดินมา เขาก็ไม่สามารถทำได้ การพูดก็เหมือนกัน การพูดภาษาตนเองใครๆก็พูดได้แต่จะพูดมีเหตุผลจับใจให้ผู้ฟังเอาชนะจิตใจเขาได้ มันต้องฝึกฝนหลักเกณฑ์ของการใช้เหตุผลและวิธีการพูดเท่านั้น ดังนั้น ตรรกศาสตร์จึงสอนให้คนรู้จักคิดหาเหตุผลตามหลักเกณฑ์ที่สมเหตุสมผล
· เป็นรากฐานเบื้องต้นของศาสตร์ทุกสาขา
เนื่องจากตรรกศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยหลักเกณฑ์แห่งการคิดและหลักเกณฑ์แห่งการใช้เหตุผล ดังนั้น มันจึงเป็นรากฐานแห่งศาสตร์ทั้งปวง เพราะศาสตร์ทุกศาสตร์จะคงความเป็นศาสตร์อยู่ได้นั้น ความรู้ของศาสตร์นั้นๆ จะต้องอาศัยหลักแห่งความคิดที่ถูกต้องของตรรกศาสตร์เท่านั้นหลักแห่งความคิดที่ว่านั้นคือ
1) เหตุกับผลต้องพอเหมาะพอเจาะกัน
2) เหตุกับผลจะต้องเกี่ยวข้องเป็นชนิดเดียวกัน
3) ผลย่อมมาจากเหตุ
ดังนั้น ความรู้ของศาสตร์ใดขัดกับหลับตรรกศาสตร์ ศาสตร์นั้นขัดกับหลักเกณฑ์แห่งศาสตร์ที่ถูกต้องและเป็นศาสตร์ที่ผิดพลาด(มีต่อ)
บทสรุป
ตรรกศาสตร์ที่กล่าวมาข้างต้น ยังบอกไม่ได้ว่าตรรกศาสตร์เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือใครเป็นคนแรกที่ใช้สื่อความหมายกับคนอื่นอย่างมีเหตุผล แต่ดูเหมือนว่า วิชานี้เกิดขึ้นมานานแล้ว นานจนอาจเรียกได้ว่าเป็นวิชาที่เก่าแก่ที่สุดวิชาหนึ่งของโลก บางทีวิชานี้ก็อาจเกิดขึ้นพร้อมกับการเกิดขิ้นของมนุษย์ก็ได้เพราะมนุษย์ได้เปลี่ยนตัวเองอย่างช้าๆ จากสัตวืชนิดหนึ่งมาเป็นมนุษย์ซึ่งต่างจากสัตว์ชนิดเดมที่บรรพบุรุษตัวเองเป็นอยู่ก็เพราะว่ามีเหตุผลในการคิด พูด และการทำ ความเป็นมนุษยืจึงเกิดขึ้นตอนที่สัตว์พัฒนาตนเองจนมีเหตุผลเหมือนดังที่อริสโตเติลพูดว่า “มนุษย์คือสัตว์ที่มีเหตุผล” นั่นเองดังนั้นตรรกศาสตร์กับมนุษย์จึงน่าจะเกิดขึ้นพร้อมๆกัน
การใช้เหตุผลเป็นกิจกรรมในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เหตุผลคือหลักฐานหรือสิ่งที่ยืนยันความเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งว่าเป็นจริง เมื่อจะทำอะไรก็ตามเราต้องคิดก่อนว่าเราควรทำหรือไม่ เพราะเหตุใด นี่คือการถามหาเหตุผลมาสนับสนุนความคิดและการกระทำของตัวเอง การใช้เหตุผล (Reasoning) เป็นกระบวนการทางความคิดที่พยายามแสดงว่าข้อสรุปควรเป็นที่ยอมรับเพราะมี เหตุผลหรือหลักฐานที่ดีมาสนับสนุน นอกจากนี้ เรายังต้องอธิบายเหตุผลนี้ให้คนอื่นเข้าใจและยอมรับด้วย เมื่อได้ฟังเรื่องราวบางอย่างเราอาจไม่เชื่อทั้งหมดในการเลือกว่าเรื่องใดควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ เราก็ต้องใช้เหตุผลในการพิจารณาการตัดสิน เมื่อเรามีความคิดเห็นไม่ตรงกันหรือมีปัญหาขัดแย้ง เราก็สามารถยุติความขัดแย้งนี้ได้โดยใช้เหตุผล ใครมีเหตุผลดีกว่าข้อสรุปของเขาก็จะเป็นที่ยอมรับได้มากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นมนุษย์ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ในการใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือแสวงหาความรู้ จนกลายเป็นความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการด้านต่างๆ อย่างที่เราเห็นกันอยู่ในโลกยุคปัจจุบัน เหตุผลจึงมีบทบาทสำคัญยิ่งในการดำเนินชีวิตของมนุษย์
แบบทดสอบ
1. ความหมายของตรรกศาสตร์ คือ
2. อภิปรัชญาของเพลโต (Plato) กล่าวถึงทฤษฎีอะไร
3. อริสโตเติล (Aristotle) มีความสัมพันธ์กับเพลโตอย่างไร
4. ใครได้ขึ้นชื่อว่าเป็น “บิดาแห่งตรรกศาสตร์”
2. อภิปรัชญาของเพลโต (Plato) กล่าวถึงทฤษฎีอะไร
3. อริสโตเติล (Aristotle) มีความสัมพันธ์กับเพลโตอย่างไร
4. ใครได้ขึ้นชื่อว่าเป็น “บิดาแห่งตรรกศาสตร์”
5. กฎแห่งความคิดของตรรกศาสตร์ที่อริสโตเติลตั้งไว้มีกี่กฎอะไรบ้าง
6. อริสโตเติลได้แบ่งกลุ่มวิชาการออกเป็นกี่ภาค อะไรบ้าง
7. พระพุทธศาสนามีความเกี่ยวข้องกับตรรกศาสตร์อย่างไร
8. จงเปรียบเทียบปรัชญาตะวันออก และ ปรัชญาตะวันตก ว่ามีแนวคิดอย่างไร
9. จุดสุดยอดของปรัชญาอินเดียคืออะไร
10. จงบอกประโยชน์ของตรรกศาสตร์
เฉลย
1. วิชาที่ศึกษากฎเกณฑ์ของการใช้เหตุผล วิชานี้เกี่ยวข้องกับวิธีการอ้างเหตุผลและหลักเกณฑ์การตัดสิน ความสมเหตุสมผลของการอ้างเหตุผล
2. ทฤษฎีมโนคติ และ จักรวาลวิทยา
3. อริสโตเติลเป็นลูกศิษย์ของเพลโต
4. อริสโตเติล
5. กฎมี 3 กฎ ได้แก่
· กฎแห่งความเหมาะเหมือน
· กฎแห่งความขัดแย้ง
· กฎแห่งความไม่มีท่ามกลาง
6. แบ่งเป็น 3 ภาค ได้แก่
· วิชาการภาคทฤษฎี
· วิชาการปฏิบัติ
· วิชาการภาคผลิต
7. เกี่ยวข้องกับความจริงที่มนุษย์ควรแสวงหา ส่วนตรรกศาสตร์เป็นเครื่องมือของญาณวิทยาหรือทฤษฎีความรู้
8. ปรัชญาตะวันออก หมายถึง ความรู้อันประเสริฐ ซึ่งได้แก่ ความรู้อันสุดท้ายเมื่อบรรลุถึงแล้ว ความอยากรู้จะหมดไป เพราะไม่มีอะไรเหลือให้อยากรู้อีกต่อไป
9. เวทานตะ
10.
· ตรรกศาสตร์ทำให้เราคิดหาเหตุผล อย่างสมเหตุสมผล
· เป็นรากฐานเบื้องต้นของศาสตร์ทุกสาขา
· เป็นเครื่องมืออย่างดีเลิศสำหรับใช้ฝึกปัญญา
เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล